การใช้งาน LiteSpeed Cache (LSCache) บน WordPress เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ WordPress โดยการทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น ด้วยการใช้เทคโนโลยีการแคชที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งช่วยลดการโหลดข้อมูลซ้ำๆ และเพิ่มความเร็วให้กับเว็บไซต์ ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนการติดตั้งและใช้งาน LiteSpeed Cache บน WordPress:

1. การติดตั้ง LiteSpeed Cache Plugin

  1. เข้าสู่ระบบ WordPress Admin ของเว็บไซต์
  2. ไปที่ Plugins > Add New
  3. ค้นหาคำว่า LiteSpeed Cache
  4. เมื่อพบ LiteSpeed Cache, คลิกที่ Install Now แล้วคลิก Activate

2. การตั้งค่าพื้นฐานของ LiteSpeed Cache

หลังจากที่ติดตั้งและเปิดใช้งานปลั๊กอินแล้ว เราจะต้องตั้งค่าบางอย่างเพื่อให้มันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  1. ไปที่ LiteSpeed Cache ในเมนูด้านซ้ายมือของ WordPress Admin
  2. ในแท็บ Settings จะมีหลายตัวเลือกที่สำคัญ ดังนี้:

General Settings

  • Enable LiteSpeed Cache: เปิดใช้งาน LiteSpeed Cache บนเว็บไซต์
  • Purge All on Post/Page Update: เมื่อมีการอัปเดตบทความหรือหน้าเว็บ, ระบบจะทำการล้างแคชเพื่อให้ข้อมูลใหม่ๆ ได้รับการแสดงผล

Cache Settings

  • Cache Logged-in Users: คำแนะนำคือไม่เปิดใช้งานแคชสำหรับผู้ใช้ที่ล็อกอิน (เพื่อหลีกเลี่ยงการแสดงผลข้อมูลไม่ถูกต้อง)
  • Cache Mobile: เปิดใช้งานการแคชสำหรับมือถือ
  • Cache SSL: ถ้าเว็บไซต์ของคุณใช้ HTTPS, ควรเปิดใช้งานตัวเลือกนี้

Purge Settings

  • Purge Cache Upon Post/Page Update: เมื่อมีการอัปเดตบทความหรือหน้าต่างๆ ระบบจะทำการล้างแคช
  • Purge Cache Upon Comment: เมื่อมีการคอมเมนต์ในโพสต์, ระบบจะล้างแคชเพื่อแสดงคอมเมนต์ใหม่

3. การเปิดใช้งาน Object Cache

Object Cache ช่วยให้การแคชในระดับข้อมูลฐานข้อมูลมีประสิทธิภาพมากขึ้น

  1. ไปที่ LiteSpeed Cache > Cache > Object Cache
  2. เปิดใช้งาน Object Cache เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณสามารถแคชข้อมูลจากฐานข้อมูลได้

4. การตั้งค่า Browser Cache

การตั้งค่า Browser Cache ช่วยให้การโหลดไฟล์ที่ไม่ต้องการโหลดซ้ำในแต่ละครั้งที่เข้าเว็บไซต์ ทำให้เว็บโหลดเร็วขึ้น

  1. ไปที่ LiteSpeed Cache > Cache > Browser
  2. เปิดใช้งาน Cache Static Resources เช่น รูปภาพ, JavaScript, CSS เป็นต้น
  3. ตั้งค่าเวลาในการแคช เช่น 1 Week หรือ 1 Month

5. การตั้งค่าการแคชสำหรับภาพ (Image Optimization)

LiteSpeed Cache มีฟังก์ชั่น Image Optimization ที่ช่วยลดขนาดไฟล์รูปภาพเพื่อให้โหลดเร็วขึ้น

  1. ไปที่ LiteSpeed Cache > Image Optimization
  2. เปิดใช้งาน Auto Optimization เพื่อให้ระบบทำการปรับขนาดและบีบอัดภาพอัตโนมัติ
  3. สามารถเลือก Lazy Load เพื่อให้รูปภาพโหลดเมื่อผู้ใช้เลื่อนหน้าจอถึงจุดนั้นเท่านั้น

6. การตั้งค่า CDN

หากคุณใช้ Content Delivery Network (CDN) เช่น Cloudflare, คุณสามารถตั้งค่าการใช้งาน CDN กับ LiteSpeed Cache ได้เพื่อเพิ่มความเร็วในการโหลดข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้ผู้ใช้มากที่สุด

  1. ไปที่ LiteSpeed Cache > CDN
  2. เลือกเปิดใช้งาน CDN และกรอกข้อมูลการตั้งค่า CDN ของคุณ เช่น URL ของ CDN

7. การแคชหน้า (Page Cache)

การแคชหน้า (Page Cache) ช่วยเก็บสำเนาของหน้าเว็บในรูปแบบแคชเพื่อให้โหลดได้เร็วขึ้น

  1. ไปที่ LiteSpeed Cache > Cache > Page
  2. เปิดใช้งานการแคชหน้า โดยสามารถตั้งค่าให้แคชเฉพาะหน้าแรกหรือทุกหน้าของเว็บไซต์

8. การทดสอบและการตรวจสอบ

หลังจากตั้งค่าทุกอย่างแล้ว คุณสามารถใช้เครื่องมือเช่น GTMetrix หรือ Google PageSpeed Insights เพื่อตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณโหลดเร็วขึ้นหรือไม่หลังจากการเปิดใช้งาน LiteSpeed Cache

9. การใช้งานขั้นสูง (Advanced Settings)

หากคุณต้องการเพิ่มประสิทธิภาพหรือควบคุมการแคชในระดับที่สูงขึ้น คุณสามารถเข้าไปที่ LiteSpeed Cache > Advanced เพื่อปรับการตั้งค่าในระดับที่ซับซ้อนขึ้น เช่น การแคชประเภทต่างๆ ที่คุณต้องการจัดการแบบพิเศษ


LiteSpeed Cache เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเพิ่มความเร็วให้กับเว็บไซต์ WordPress โดยการลดเวลาการโหลดหน้าและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ คุณสามารถปรับการตั้งค่าเหล่านี้ตามความต้องการของเว็บไซต์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด.

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณสามารถตั้งค่า LiteSpeed Cache บนเว็บไซต์ WordPress ได้สำเร็จ!

สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่ https://wordpress.org/plugins/litespeed-cache/ 

คู่มือใช้งานเพิ่มเติม https://docs.litespeedtech.com/lscache/lscwp/dashboard/


วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 14, 2025

« Back